วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ไอดอลรอบโลก ตอน "ชายผู้เป็นที่สุดของพลังใจ "Nick Vujicic"








“Consider it pure joy, my Brothers, whenever you face trials of many kinds.”

(“คิดซะว่ามันเป็นความรู้สึกเป็นสุขอันบริสุทธิ์เถิดพี่น้อง เมื่อไหร่ก็ตามที่เราต้องเจอกับการทดลองในหลายรูปแบบ”)










"There're something in life that it's out of control that you can't change but you gonna live withThe choices that we have those are to give up or keep on going."

("ในบางครั้ง ชีวิตเราก็มีอะไรที่เราไม่สามารถควบคุมได้ ไม่มีคำตอบ...แต่เราสามารถอยู่กับมันได้ทางเลือกก็คือ เราจะยอมแพ้ หรือเราจะไปต่อ")








เป็นเวลากว่า 34 ปีแล้วที่ชายผู้นี้ได้ใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ด้วยความไม่ย่อท้อเลยสักวินาทีกับโรคร้ายที่ไม่มีใครเคยเข้าใจว่าจะเกิดขึ้นกับเขา "Tetra-amelia disorder" ชื่อโรคที่ทำให้เขาไม่มีแขนทั้งสองข้างตั้งแต่หัวไหล่ลงไปและขาที่สั้นลีบเล็ก แน่นอนว่าเส้นทางของเขาไม่สวยงามเพราะต้องเจอกับอุปสรรค์ ความยากลำบาก กำแพงต่างๆที่พร้อมจะโถมมากีดกั้น แต่อย่างที่บอก ชายผู้นี้ไม่เคยท้อแท้ ไม่ว่าจะเป็นการรวมกลุมพบป่ะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวการให้กำลังใจในกลุ่มคนที่มีความบกพร่องทางร่างกาย จากกลุ่มเล็กๆก็ได้ขยายวงกว้างออกไปเป็นเวลาไม่นาน หรือแม้แต่ความมุมานะในการเรียนด้วยวิธีการใช้นิ้วเท้าจับดินสอแล้วเอาเชือกผูกไว้เพื่อจะได้เรียนเหมือนเพื่อนๆจนประสบความสำเร็จด้วยการคว้าประกาศนียบัตรปริญญาตรีมาสองใบด้านบัญชีและการวางแผนการเงินด้วยอายุเพียง 21 ปี

คำพูดที่สร้างแรงบันดาลใจของ Nick

Nick บอกว่า แทนที่จะมัวหมกมุ่นสงสารตัวเอง หรือโกรธเกรี้ยวผู้คนรอบข้างด้วยเหตุผลต่างๆ นานาของ “ความไม่ยุติธรรม” (Why me?) เขากลับบอกพ่อแม่ว่าเขาอยากใช้ชีวิตปกติ ไม่ต้องการให้ใครมาดูแล หรือปฏิบัติต่อเขาอย่างพิเศษ — แล้วเขาก็ใช้ชีวิตปกติ ไปโรงเรียนสามัญเรียนร่วมกับเพื่อนที่มีร่างกายสมบูรณ์ ผู้คนต่างมองเขาอย่างประหลาดใจ โดยที่ไม่ได้ตระหนักเลยว่าสิ่งที่พวกเขาคิดกับความเป็นจริงนั้น เป็นคนละเรื่องเลย เขาเรียนจบทางบัญชี และปัจจุบันเป็นนักสร้างแรงบันดาลใจที่เดินรอบโลก เพื่อพูดกับเด็ก-วัยรุ่นที่มีความคับข้องใจ ไม่พอใจ เป็นตัวอย่างที่มีชีวิต แสดงให้เห็นว่าที่แต่ละคนมีนั้น ยิ่งใหญ่ขนาดไหน จะทุกข์ร้อนอะไรนักหนา

To count our hurt, pain and struggle as nothing but pure joy? As my parents were Christians, and my Dad even a Pastor of our church, they knew that verse very well.
"ให้ถือ ว่าความเจ็บปวด ความทุกข์ยาก และการต่อสู้ดิ้นรนของเราเป็นความรู้สึกอันเป็นสุขงั้นเหรอ? ด้วยความที่พ่อแม่ของผมเป็นคริสเตียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อของผมที่เป็นนักเทศน์ในโบสถ์ พวกเค้ารู้ซื้งในคำพูดนั้นเป็นอย่างดี"

However, on the morning of the 4th of December 1982 in Melbourne (Australia), the last two words on the minds of my parents was “Praise God!”

"อย่าง ไรก็ตาม เช้าวันหนึ่งของวันที่ 4 ธันวาคม ปี 1982 ที่เมืองเมลเบิร์น (ประเทศออสเตรเลีย) สองคำสุดท้ายที่อยู่ในใจของพ่อแม่ผมก็คือ สรรเสริญพระเจ้า!"


Their firstborn son had been born without limbs! There were no warnings or time to prepare themselves for it. The doctors we shocked and had no answers at all! There is still no medical reason why this had happened and Nick now has a Brother and Sister who were born just like any other baby.

"ลูกชายคนแรกของพวกเขาเกิดมาไม่มีแขนขา! ไม่มีคำเตือนใด ๆ หรือแม้แต่เวลาให้เตรียมใจสำหรับเรื่องนี้ หมอก็ตกใจและไม่มีคำตอบใด ๆ เลย! ยังคงไม่มีเหตุผลทางการแพทย์ใด ๆ ที่จะอธิบายได้ว่าทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น และตอนนี้นิคมีทั้งน้องชายและน้องสาวที่เกิดมาเหมือนกับเด็กปกติคนอื่น ๆ คนทั้งโบสถ์เศร้าโศกกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับการเกิดมาของผม และพ่อแม่ผมก็รู้สึกไปกับเรื่องเหล่านั้น ทุกคนถามว่า “ถ้าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความรัก ถ้างั้นทำไมพระองค์ถึงยอมให้สิ่งเลวร้ายแบบนี้เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่กับใครคนอื่น แต่กับคริสเตียนที่ทุ่มเทแบบนี้” พ่อผมไม่คิดว่าผมจะมีชิวิตอยู่ได้นานนัก แต่ผลการทดสอบกลับบอกว่าผมเป็นเด็กผู้ชายแข็งแรง เพียงแค่แขนขาหายไปเท่านั้นเอง"


The whole church mourned over my birth and my parents were absolutely devastated. Everyone asked, “if God is a God of Love, then why would God let something this bad happen to not just anyone, but dedicated Christians?” My Dad thought I wouldn’t survive for very long, but tests proved that I was a healthy baby boy just with a few limbs missing.

"คน ทั้งโบสถ์เศร้าโศกกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับการเกิดมาของผม และพ่อแม่ผมก็รู้สึกไปกับเรื่องเหล่านั้น ทุกคนถามว่า “ถ้าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความรัก ถ้างั้นทำไมพระองค์ถึงยอมให้สิ่งเลวร้ายแบบนี้เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่กับใครคนอื่น แต่กับคริสเตียนที่ทุ่มเทแบบนี้” พ่อผมไม่คิดว่าผมจะมีชิวิตอยู่ได้นานนัก แต่ผลการทดสอบกลับบอกว่าผมเป็นเด็กผู้ชายแข็งแรง เพียงแค่แขนขาหายไปเท่านั้นเอง"

หากว่าเรากำลังยืนมองตัวเองอยู่หน้ากระจกและรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ รู้สึกว่าชีวิตนั้นขาดอะไรไป ท้อท้ หมดหวัง ไม่มีพลังใจจะทำอะไร หรือเครียดกับปัญหาต่างๆที่เข้ามารุมเร้าไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรียน ความรัก หรือชีวิต ถ้าคุณไม่ได้เป็นเหมือน Nick คุณจะไม่รู้สึกเลยว่าสิ่งที่คุณวิตกกังวลหรือสิ่งที่คุณกลัวนั้นเมื่อเทียบกันแล้วมันเล็กน้อยมาก บางทีการที่เรามองคนที่มีน้อยกว่าเราหรือมีความทุกข์ด้านอื่นที่มันมากกว่าเราเพื่อศึกษาชีวิตว่า เราแย่แล้วเหรอ เราตกต่ำขนาดนั้นเหรอหรือยังมีคนที่เขาแย่กว่าเราแต่เขากลับมีชีวิตที่ดีและมีความสุขมาก ลองดูคนเหล่านี้สิ แล้วลองดูว่าเค้าคิดยังไง ใช้ชีวิตยังไง และสุดท้ายคุณต้องเข้าไปด้วยนะ...เข้าไปรู้สึกว่าขาดเหมือนเขา แล้วคุณจะรู้ว่าคุณนั้นโชคดีเหลือเกิน

เครดิตเรื่อง : Mthai
ภาพ : IGNick Vujicic
เรียบเรียง : Thai Idol

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น