วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ไอดอลชายไทย ตอน "พัด พชร เส้นทางสู่การเป็นผู้กำกับ"

ผู้กำกับหนุ่มหน้าใสรุ่นใหม่ไฟแรง ‘พัด พชร พิทักษ์จำนงค์’ นักศึกษาจบใหม่จากรั้วมหาวิทยาลัยมหิดล คณะอินเตอร์ สาขาภาพยนตร์ มีผลงานภาพยนตร์มาแล้วกว่าสิบเรื่องด้วยวัยเพียงแค่ 21 ปี แถมตอนนี้ยังได้ร่วมงานกับบริษัทภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง The Film Factory และ Factory 01 อีกด้วย อะไรคือแรงผลักดันให้ พัด ตัดสินใจมาเป็นผู้กำกับหนังด้วยวัยเพียงแค่นี้ไปสัมภาษณ์กันเลยดีกว่า! 
แรงบันดาลใจแรกที่ทำให้หลงใหลการทำภาพยนตร์

“ผมได้มีโอกาสดูหนังเรื่อง Last Life in the Universe ของพี่ เป็นเอก รัตนเรือง ตอนอายุ 12 หลังจากดูจบแล้วอึ้งมาก ลุกไม่ขึ้น มันช็อค เพราะหนังมีความเป็นศินิม่าซึ่งไม่มีในหนังฮอลลีวูด และมันเล่นกับความรู้สึกเราได้ดีมาก เย็นวันถัดไปเลยบอกพ่อว่าผมอยากเป็นผู้กำกับหนัง (หัวเราะ)”

แล้วพ่อว่าไง

“วันเกิดพ่อก็เลยซื้อกล้องให้ เป็นกล้อง DV แบบถูกที่สุดในร้านเพราะไม่อยากให้ใช้ของแพงเกินตัว จำได้ว่าเป็นยี่ห้อ Canon แบบยังเป็นเทปอยู่เลย พอผมได้กล้องมาก็ตื่นเต้น รีบเอาไปถ่ายเอ็มวี ทว่าทำพลาดเละเทะ ทำบ้าไรไม่เป็นเลย ถ่ายแล้วไม่ซึ้ง เขียนบทห่วยแตก แล้วก็เอาชื่อหนังเท่ๆ กับเพลงเท่ๆ ของพี่เป็นเอกมายำให้รู้สึกว่าเป็นหนังอาร์ท แต่ทำออกมาได้แย่มาก รู้สึกว่าหนังเราห่วย แต่เราสนุกกับ process และความยากของมันมาก ความยากของมันทำให้เราเข้าใจมันรักมันมากขึ้น”

กว่าจะมีวันนี้ผ่านอะไรมาบ้างใครเป็นแรงบันดาลใจ

“คนที่เป็นแรงบันดาลใจถัดจากพี่เป็นเอกคือคุณพ่อ คุณพ่อผมทำบริษัทพากย์เสียงภาษาไทยให้กับหนังฮอลลีวูด ตอนเด็กๆ จำได้ว่าเพราะความไม่รู้เรื่องรู้ราว เวลาใครถามว่าพ่อทำอะไรผมจะพูดว่าพ่อทำหนัง และผมก็ภูมิใจด้วย จริงๆ พ่อเคยอยากเป็นผู้กำกับหนังแต่ไม่ได้มีโอกาสเรียนและทำ ผมโชคดีที่พ่อสนับสนุนมาก มีวันนึงอายุประมาณ 15 ผมทำหนังได้ไม่ดีหลายๆ เรื่องแล้วเรารู้สึกท้อไปพักใหญ่ พ่อถามผมว่าจะไม่ทำแล้วใช่ไหมหนัง จะได้ไม่ต้องส่งเรียน (หัวเราะ) หลังจากนั้นเลยวิ่งเต้นมาลองทำอีกสักรอบ ประมาณปีนึงหลักจากนั้นผมก็ขอพ่อซื้อกล้อง 550D ซึ่งเป็นกล้อง DSLR ที่ถ่ายวิดิโอได้ตัวแรกๆ”
“หลังจากได้กล้องมาผมบ้าถ่ายมาก ถ่ายมันทุกอย่าง ทำวิดิโอโปรโมทในงานโรงเรียนประมาณ 20 วิดิโอ ทำหนังสั้นอีกสองสามเรื่อง ตอนนั้นเรียนรู้เร็วมากเพราะ Filmmaking Culture ต่างประเทศก็กำลังเติบโต ผมดูวิดิโอบนอินเตอร์เน็ตแล้วเรียนรู้ไปพร้อมกับทั้งโลก ตอน ม.4 นั้นถึงจุดที่บ้าและอินจริงจัง ไม่มีกะจิตกะใจจะเรียนหนังสือแล้ว พอประมาณ ม.5 ผมได้มีโอกาสไปเวิร์กช็อปที่ Phenomena ผมอายุน้อยกว่าทุกคนที่ไปประมาณ 5 ปี คือรู้สึกดีที่สุดตอนได้เจอได้คุยและเรียนรู้กับพี่ต่อ (ธนญชัย ศรศรีวิชัย) พี่ต่อพูดอย่างนึงที่ทำให้ผมมีแรงบันดาลใจมาก คือบอกว่าพัดอะ ทำหนังเก่งอยู่แล้ว แต่ให้ไปเรียนรู้เพิ่ม ผมแบบ เช็ดเข้ พี่ต่อ ธนญชัย ผู้กำกับอันดับหนึ่งของโลกชมเราว่าเก่ง!”

“วันนั้นเป็นวันที่เปลี่ยนชีวิตผมเลย ผมเรียนรู้วิธีคิดแบบผู้ใหญ่มากขึ้นจากพี่ต่อ ความเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับวิธีคิด วิธีมองโลก การทำงาน วันนั้นผมบอกกับตัวเอง ผมไม่อยากเป็นผู้กำกับ ผมอยากเป็นคนทำหนังที่ดีที่สุดโดยไม่ห่วงเรื่องเงิน เรามีเงินเดือนเก้าพันเราก็มีความสุขกับการทำงานได้ครั้งแรกที่ได้เจอเหล่าไอดอลการทำหนังของผมเกิดขึ้นที่ TCDC ถัดจากเวิร์กช็อปหนึ่งเดือน ผมได้เจอพี่เป็นเอก รัตนเรือง และช่างภาพ พี่แดง ชาญกิจ ชำนิวิกัยพงศ์ ผู้กำกับศิลป์มือท็อบๆ ของเมืองไทยอย่างอาจารย์ตั้ม (ภวัส สวัสดิ์ชัยเมธ) ก็ไป ฟังเขาพูดเรื่องการทำหนังฝนตกขึ้นฟ้า มันส์ดี ตั้งแปดชั่วโมงช่วงนั้นผมรู้สึกอยากทำหนังยาวมาก ไม่อยากเรียนมหาวิทยาลัยต่อเพราะคิดว่าไม่จำเป็น ตอนนั้นยังเด็กคิดว่าตัวเองเก่ง วางแผนไว้ว่าถ้าได้ซื้อกล้อง RED แล้วปล่อยให้คนอื่นเช่ารับงานถ่าย แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยมหิดล (MUIC) เพราะรู้มาว่าอาจารย์ตั้มที่เป็นโปรดิวเซอร์ของ ฝนตกขึ้นฟ้า สอนอยู่ที่นี่ แถมยังเป็นหลักสูตรอินเตอร์และมีมหาวิทยาลัยเดียวที่สอนฟีล์มแบบเต็มๆ”
“ที่มหาวิทยาลัยผมได้เจอ ‘พีท’ ตากล้องคู่ใจที่ผมสนิทมากๆ ตอนจบปี 1 ผมได้ไปเวิร์กช็อปกำกับศิลป์กับอาจารย์ตั้ม แล้วทำงานได้ดีในระดับหนึ่ง อาจารย์เลยเอ็นดูเรามาจนถึงทุกวันนี้ โชคดีของผมที่ช่วงนั้นเขาถ่ายหนังเรื่องใหม่ของพี่เป็นเอก เรื่องแรงดึงดูด ผมเลยได้ไปออกกองด้วยสามวันและได้รู้จักพี่ๆ ในวงการมากมาย”

“ตอนปีสองผมบอกกับพีทว่าอยากทำหนังยาว เลยตัดสินใจทำกับกลุ่มเพื่อน 7 คนในชื่อ SkylitFilms ถ่าย 14 คิว เหนื่อยมาก หนังออกมาไม่ดี เรียกว่าห่วยจนผมท้อ (หนังชื่อต่อพงษ์ ไปหาดูได้) จากนั้นเลยผุดโปรเจ็คหนึ่งที่เคยพยายามทำแต่ไม่สำเร็จ เป็นเรื่องสั้นจากหนังสือชื่อ Bangkok Noir ซึ่งเป็นหนังมือปืน ตอนนั้นเรามีไอ้นาย (นาย นภัทร เสียงสมบุญ) กำลังถูกปั้นเป็นซุปเปอร์สตาร์ แล้วเคยติดต่อพี่นก ฉัตรชัยไว้ ว่าจะมาเล่นหนังนี่ ผมเลยบอกกับเพื่อนว่าเรื่องนี้ตั้งใจมาก ร้องไห้ต่อหน้าเพื่อนเลย บอกว่าถ้าเรื่องนี้ออกมาห่วย ผมจะเลิกทำหนังแล้วเพราะผมบ้ามาก (หัวเราะ) สุดท้ายเลยได้ออกมาเป็น Death of a Legend ซึ่งได้รางวัลรับเลือกถึง 7 รางวัล แต่จุดที่พลิกชีวิตมากที่สุดคือเมื่อ ลี ชาตะเมธีกุล มือตัดระดับท็อบๆ ของประเทศ และ พี่เป็นเอก รัตนเรือง มาสอนที่มหาวิทยาลัยมหิดล”

“พออาจารย์ลีกับพี่เป็นเอกเข้ามาสอน ผมได้เรียนรู้แบบเยอะมากๆ เยอะแบบมหาศาล คือเรากลายเป็นคนอีกเลเวลหนึ่งเลย เพราะเขาสอนดีมาก ความเป็นคนทำหนัง ความเข้าใจหนัง ผมรู้สึกว่าผมพลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้า บวกกับการที่เป็นคนรักหนังพี่เป็นเอกอยู่แล้ว ผมยิ่งได้ถาม ยิ่งได้รู้มากขึ้น มันเป็นแรงบันดาลใจมาก พออาจารย์ทั้งสองเห็นความตั้งใจของเรา เขาก็ยิ่งให้เราแบบเยอะมาก
ในช่วงเวลานั้นหนังของผมติดรอบเทศกาลมูลนิธิไทยด้วยสองเรื่อง ซึ่ง Thai Short Film and Video Festival เป็นอะไรที่มีเกียรติมากๆ เราติด 15 เรื่องสุดท้ายเรื่องนึง และก็อีกหมวดนึงคือเรื่อง Night at Studio One กับ In a Relationship”
“ช่วงปีสี่เป็นช่วงที่ต้องทำธีสิส ผมเลยตัดสินใจทำหนังที่ personal ที่สุดเกี่ยวกับผม ซึ่งมันก็คือจุดเริ่มต้นของการทำหนังของผม ผมอยากขอบคุณพี่เป็นเอก คุณพ่อ และหนังหลายๆ เรื่องที่ให้แรงบันดาลใจ ซึ่งพี่เป็นเอกและอาจารย์ลีช่วยดูให้ตั้งแต่เขียนบทจนตัดต่อดราฟท์ สุดท้ายอาจารย์ตั้มก็มาเป็นโปรดิวเซอร์ คอยดูและคุมทุกอย่างให้ด้วย ผมได้พี่หมิวกับพี่ต๊อกมาเล่นเป็นตัวละครที่เขาเคยเล่นเกือบ 20 ปีที่แล้ว ได้พรอพจริงจากหนังเรื่องต่างๆ เช่นวิทยุเก่าจากมนต์รัก มาอยู่ในหนังของผมเรื่อง Lost in the Universe ผมได้คนเขียนเพลงเป็นพี่โหน่ง T-Bone แล้วก็ทีมไฟที่หนังพี่เป็นเอกช่วงแรกๆ ใช้ ซึ่งก็คือทีม VS Service ใช้บริษัทกล้องที่พี่เป็นเอกใช้ และโลเคชั่นก็เป็นที่เดียวกับที่ถ่าย ฝนตกขึ้นฟ้า หลังจากจบผมเลยมีผลงานที่ดีมากๆ เรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่เราชอบและรักมากๆ ตอนเจอพี่เป็นเอกครั้งสุดท้ายที่มหาวิทยาลัย ผมขอพี่เขาให้ช่วยแนะนำไปที่บริษัท Factory 01 ผมเลยได้ไปเรียนรู้กับผู้กำกับโฆษณาอย่างพี่อั๋น วุฒิศักดิ์ อนรรฆพร เหมือนได้เจออาจารย์เทพอีกคน และสักพักก็ได้ทำเรื่องแรกจาก Film Factory ได้เรียนรู้จากอาจารย์เทพอีกคนคือ คุณหนัง”

“ผมรู้สึกว่าชีวิตของผมโชคดีมากๆ ได้เรียนรู้จากเทพอย่างพี่ต่อ พี่คณิณ พี่อั๋น คุณหนัง โชคดีมากๆ เป็นบุญเลยครับ เป็นความโชคดีล้วนๆ ที่ทำให้เราได้เจอและเรียนรู้จากคนเก่งๆ มากมาย โชคดีที่โอกาสมันลงล็อค โชคดีที่ครอบครัวสนับสนุน ทั้งนี้ทั้งนั้นมันเกิดจากความพยายามให้การหาโอกาสต่างๆ ให้เข้ามาในชีวิต สำหรับชีวิตผมตอนนี้ คืออยากทำหนังยาวกับทำโฆษณาเท่านั้น จริงๆ มาถึงจุดนี้ได้ในอายุเท่านี้สำหรับผมว่ามันเร็วเกินไปแล้วครับ (หัวเราะ)”

“รางวัลที่ผมชอบมากที่สุดคือการได้รับการยอมรับจากพี่ๆ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เรา ผมฟินมากที่พี่เต๋อแชร์หนังผม หรือที่พี่เป็นเอกชอบ หรือที่พี่อั๋นชอบ ผมว่ามันเหนือกว่ารางวัลอื่นเลยครับ ส่วนคนรุ่นใหม่ที่กำลังจะตามมา ผมรู้สึกว่าพวกเขาเหล่านั้นเก่งมากๆ แล้วครับ แค่ฝากไว้ว่าอย่ารู้สึกว่าตัวเองเก่งเท่านั้น มันจะกั้นโอกาสเรา แต่ผมมั่นใจว่าเด็กรุ่นใหม่ที่ตามมาติดๆ มีเก่งกว่าผมเยอะมาก”
สุดท้ายฝากอะไรไหม

“สุดท้ายผมอยากขอบคุณอาจารย์ทุกท่านครับ พี่ต้อม เป็นเอก ที่หนังของเขาทำให้เรามีทุกวันนี้ ขอบคุณที่ให้โอกาสและความรู้มหาศาล อาจารย์ตั้ม ภวัส ที่ให้โอกาสผม และสอนผมตั้งแต่ปี 1 ถ้าไม่มีเขานี่ไม่มีทุกวันนี้ อาจารย์ลี ที่โคตรจะซัพพอร์ท และให้ความรู้มากมายจริงๆ พี่ต่อ ที่ช่วยให้แรงบันดาลใจและวิธีคิดผมในวันนั้นที่ผมอายุ 16 และวันที่ผมอายุ 19 คุณหนัง ที่ให้โอกาสทำงานชิ้นแรกและได้เรียนรู้อะไรมากมายในเวลาสั้นๆ พี่คณิณ ที่สอนให้ความรู้ในวิธีการโฆษณา พี่เต๋อ นวพล ที่มีเวลามาสอนเขียนบทกับเด็กโง่อย่างผม พี่อั๋น ที่เวลาสามเดือนให้โคตรเยอะมหาศาลเกี่ยวกับวงการโฆษณา เป็นอาจารย์คนนึงที่รักมากๆ คุณพ่อที่คอยสนับสนุนทุกอย่างและความรักที่ได้จากเขา และเงินทองที่มหาศาลที่ช่วยสร้างโอกาสให้เรามากมายถึงที่สุด คุณแม่ที่คอยดูแลเลี้ยงดูเรา ขอบคุณเพื่อนๆ โดยเฉพาะ พี่ต้อม ชัยรัตน์ที่เราไม่ได้พูดถึงเลย กับ พีท ตากล้องคู่เรา ที่ไม่มีมันก็คงไปไม่รอด และเพื่อนๆ ชาว Skylit Films ที่สนับสนุนการทำหนังของเราในช่วงมหาลัยครับ
เป็นไงบ้างคะกับบทสัมภาษณ์ของ พัด พชร พิทักษ์จำนงค์ เชื่อได้ว่าประสบการณ์ของน้องพัดจะสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้หลายๆ คนได้ ก่อนที่ พัด พชร มาถึงจุดนี้ได้เขาต้องผ่านทั้งความพยายามและขวนขวายไขว่คว้าโอกาสมากมายก่อน 
ทุกคนสามารถติดตามผลงานของ "พัด พชร" ได้ที่ https://vimeo.com/pojpitakjamnong อย่าลืมติดตามนะคะ

ขอบคุณภาพจาก Facebook Putt Poj Pitakjamnong 
เรียบเรียงโดย Thai Idol.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น