วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ไอดอลรอบโลก ตอน "ชายผู้เป็นที่สุดของพลังใจ "Nick Vujicic"








“Consider it pure joy, my Brothers, whenever you face trials of many kinds.”

(“คิดซะว่ามันเป็นความรู้สึกเป็นสุขอันบริสุทธิ์เถิดพี่น้อง เมื่อไหร่ก็ตามที่เราต้องเจอกับการทดลองในหลายรูปแบบ”)










"There're something in life that it's out of control that you can't change but you gonna live withThe choices that we have those are to give up or keep on going."

("ในบางครั้ง ชีวิตเราก็มีอะไรที่เราไม่สามารถควบคุมได้ ไม่มีคำตอบ...แต่เราสามารถอยู่กับมันได้ทางเลือกก็คือ เราจะยอมแพ้ หรือเราจะไปต่อ")








เป็นเวลากว่า 34 ปีแล้วที่ชายผู้นี้ได้ใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ด้วยความไม่ย่อท้อเลยสักวินาทีกับโรคร้ายที่ไม่มีใครเคยเข้าใจว่าจะเกิดขึ้นกับเขา "Tetra-amelia disorder" ชื่อโรคที่ทำให้เขาไม่มีแขนทั้งสองข้างตั้งแต่หัวไหล่ลงไปและขาที่สั้นลีบเล็ก แน่นอนว่าเส้นทางของเขาไม่สวยงามเพราะต้องเจอกับอุปสรรค์ ความยากลำบาก กำแพงต่างๆที่พร้อมจะโถมมากีดกั้น แต่อย่างที่บอก ชายผู้นี้ไม่เคยท้อแท้ ไม่ว่าจะเป็นการรวมกลุมพบป่ะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวการให้กำลังใจในกลุ่มคนที่มีความบกพร่องทางร่างกาย จากกลุ่มเล็กๆก็ได้ขยายวงกว้างออกไปเป็นเวลาไม่นาน หรือแม้แต่ความมุมานะในการเรียนด้วยวิธีการใช้นิ้วเท้าจับดินสอแล้วเอาเชือกผูกไว้เพื่อจะได้เรียนเหมือนเพื่อนๆจนประสบความสำเร็จด้วยการคว้าประกาศนียบัตรปริญญาตรีมาสองใบด้านบัญชีและการวางแผนการเงินด้วยอายุเพียง 21 ปี

คำพูดที่สร้างแรงบันดาลใจของ Nick

Nick บอกว่า แทนที่จะมัวหมกมุ่นสงสารตัวเอง หรือโกรธเกรี้ยวผู้คนรอบข้างด้วยเหตุผลต่างๆ นานาของ “ความไม่ยุติธรรม” (Why me?) เขากลับบอกพ่อแม่ว่าเขาอยากใช้ชีวิตปกติ ไม่ต้องการให้ใครมาดูแล หรือปฏิบัติต่อเขาอย่างพิเศษ — แล้วเขาก็ใช้ชีวิตปกติ ไปโรงเรียนสามัญเรียนร่วมกับเพื่อนที่มีร่างกายสมบูรณ์ ผู้คนต่างมองเขาอย่างประหลาดใจ โดยที่ไม่ได้ตระหนักเลยว่าสิ่งที่พวกเขาคิดกับความเป็นจริงนั้น เป็นคนละเรื่องเลย เขาเรียนจบทางบัญชี และปัจจุบันเป็นนักสร้างแรงบันดาลใจที่เดินรอบโลก เพื่อพูดกับเด็ก-วัยรุ่นที่มีความคับข้องใจ ไม่พอใจ เป็นตัวอย่างที่มีชีวิต แสดงให้เห็นว่าที่แต่ละคนมีนั้น ยิ่งใหญ่ขนาดไหน จะทุกข์ร้อนอะไรนักหนา

To count our hurt, pain and struggle as nothing but pure joy? As my parents were Christians, and my Dad even a Pastor of our church, they knew that verse very well.
"ให้ถือ ว่าความเจ็บปวด ความทุกข์ยาก และการต่อสู้ดิ้นรนของเราเป็นความรู้สึกอันเป็นสุขงั้นเหรอ? ด้วยความที่พ่อแม่ของผมเป็นคริสเตียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อของผมที่เป็นนักเทศน์ในโบสถ์ พวกเค้ารู้ซื้งในคำพูดนั้นเป็นอย่างดี"

However, on the morning of the 4th of December 1982 in Melbourne (Australia), the last two words on the minds of my parents was “Praise God!”

"อย่าง ไรก็ตาม เช้าวันหนึ่งของวันที่ 4 ธันวาคม ปี 1982 ที่เมืองเมลเบิร์น (ประเทศออสเตรเลีย) สองคำสุดท้ายที่อยู่ในใจของพ่อแม่ผมก็คือ สรรเสริญพระเจ้า!"


Their firstborn son had been born without limbs! There were no warnings or time to prepare themselves for it. The doctors we shocked and had no answers at all! There is still no medical reason why this had happened and Nick now has a Brother and Sister who were born just like any other baby.

"ลูกชายคนแรกของพวกเขาเกิดมาไม่มีแขนขา! ไม่มีคำเตือนใด ๆ หรือแม้แต่เวลาให้เตรียมใจสำหรับเรื่องนี้ หมอก็ตกใจและไม่มีคำตอบใด ๆ เลย! ยังคงไม่มีเหตุผลทางการแพทย์ใด ๆ ที่จะอธิบายได้ว่าทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น และตอนนี้นิคมีทั้งน้องชายและน้องสาวที่เกิดมาเหมือนกับเด็กปกติคนอื่น ๆ คนทั้งโบสถ์เศร้าโศกกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับการเกิดมาของผม และพ่อแม่ผมก็รู้สึกไปกับเรื่องเหล่านั้น ทุกคนถามว่า “ถ้าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความรัก ถ้างั้นทำไมพระองค์ถึงยอมให้สิ่งเลวร้ายแบบนี้เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่กับใครคนอื่น แต่กับคริสเตียนที่ทุ่มเทแบบนี้” พ่อผมไม่คิดว่าผมจะมีชิวิตอยู่ได้นานนัก แต่ผลการทดสอบกลับบอกว่าผมเป็นเด็กผู้ชายแข็งแรง เพียงแค่แขนขาหายไปเท่านั้นเอง"


The whole church mourned over my birth and my parents were absolutely devastated. Everyone asked, “if God is a God of Love, then why would God let something this bad happen to not just anyone, but dedicated Christians?” My Dad thought I wouldn’t survive for very long, but tests proved that I was a healthy baby boy just with a few limbs missing.

"คน ทั้งโบสถ์เศร้าโศกกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับการเกิดมาของผม และพ่อแม่ผมก็รู้สึกไปกับเรื่องเหล่านั้น ทุกคนถามว่า “ถ้าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความรัก ถ้างั้นทำไมพระองค์ถึงยอมให้สิ่งเลวร้ายแบบนี้เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่กับใครคนอื่น แต่กับคริสเตียนที่ทุ่มเทแบบนี้” พ่อผมไม่คิดว่าผมจะมีชิวิตอยู่ได้นานนัก แต่ผลการทดสอบกลับบอกว่าผมเป็นเด็กผู้ชายแข็งแรง เพียงแค่แขนขาหายไปเท่านั้นเอง"

หากว่าเรากำลังยืนมองตัวเองอยู่หน้ากระจกและรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ รู้สึกว่าชีวิตนั้นขาดอะไรไป ท้อท้ หมดหวัง ไม่มีพลังใจจะทำอะไร หรือเครียดกับปัญหาต่างๆที่เข้ามารุมเร้าไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรียน ความรัก หรือชีวิต ถ้าคุณไม่ได้เป็นเหมือน Nick คุณจะไม่รู้สึกเลยว่าสิ่งที่คุณวิตกกังวลหรือสิ่งที่คุณกลัวนั้นเมื่อเทียบกันแล้วมันเล็กน้อยมาก บางทีการที่เรามองคนที่มีน้อยกว่าเราหรือมีความทุกข์ด้านอื่นที่มันมากกว่าเราเพื่อศึกษาชีวิตว่า เราแย่แล้วเหรอ เราตกต่ำขนาดนั้นเหรอหรือยังมีคนที่เขาแย่กว่าเราแต่เขากลับมีชีวิตที่ดีและมีความสุขมาก ลองดูคนเหล่านี้สิ แล้วลองดูว่าเค้าคิดยังไง ใช้ชีวิตยังไง และสุดท้ายคุณต้องเข้าไปด้วยนะ...เข้าไปรู้สึกว่าขาดเหมือนเขา แล้วคุณจะรู้ว่าคุณนั้นโชคดีเหลือเกิน

เครดิตเรื่อง : Mthai
ภาพ : IGNick Vujicic
เรียบเรียง : Thai Idol

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ไอดอลชายไทย ตอน "พัด พชร เส้นทางสู่การเป็นผู้กำกับ"

ผู้กำกับหนุ่มหน้าใสรุ่นใหม่ไฟแรง ‘พัด พชร พิทักษ์จำนงค์’ นักศึกษาจบใหม่จากรั้วมหาวิทยาลัยมหิดล คณะอินเตอร์ สาขาภาพยนตร์ มีผลงานภาพยนตร์มาแล้วกว่าสิบเรื่องด้วยวัยเพียงแค่ 21 ปี แถมตอนนี้ยังได้ร่วมงานกับบริษัทภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง The Film Factory และ Factory 01 อีกด้วย อะไรคือแรงผลักดันให้ พัด ตัดสินใจมาเป็นผู้กำกับหนังด้วยวัยเพียงแค่นี้ไปสัมภาษณ์กันเลยดีกว่า! 
แรงบันดาลใจแรกที่ทำให้หลงใหลการทำภาพยนตร์

“ผมได้มีโอกาสดูหนังเรื่อง Last Life in the Universe ของพี่ เป็นเอก รัตนเรือง ตอนอายุ 12 หลังจากดูจบแล้วอึ้งมาก ลุกไม่ขึ้น มันช็อค เพราะหนังมีความเป็นศินิม่าซึ่งไม่มีในหนังฮอลลีวูด และมันเล่นกับความรู้สึกเราได้ดีมาก เย็นวันถัดไปเลยบอกพ่อว่าผมอยากเป็นผู้กำกับหนัง (หัวเราะ)”

แล้วพ่อว่าไง

“วันเกิดพ่อก็เลยซื้อกล้องให้ เป็นกล้อง DV แบบถูกที่สุดในร้านเพราะไม่อยากให้ใช้ของแพงเกินตัว จำได้ว่าเป็นยี่ห้อ Canon แบบยังเป็นเทปอยู่เลย พอผมได้กล้องมาก็ตื่นเต้น รีบเอาไปถ่ายเอ็มวี ทว่าทำพลาดเละเทะ ทำบ้าไรไม่เป็นเลย ถ่ายแล้วไม่ซึ้ง เขียนบทห่วยแตก แล้วก็เอาชื่อหนังเท่ๆ กับเพลงเท่ๆ ของพี่เป็นเอกมายำให้รู้สึกว่าเป็นหนังอาร์ท แต่ทำออกมาได้แย่มาก รู้สึกว่าหนังเราห่วย แต่เราสนุกกับ process และความยากของมันมาก ความยากของมันทำให้เราเข้าใจมันรักมันมากขึ้น”

กว่าจะมีวันนี้ผ่านอะไรมาบ้างใครเป็นแรงบันดาลใจ

“คนที่เป็นแรงบันดาลใจถัดจากพี่เป็นเอกคือคุณพ่อ คุณพ่อผมทำบริษัทพากย์เสียงภาษาไทยให้กับหนังฮอลลีวูด ตอนเด็กๆ จำได้ว่าเพราะความไม่รู้เรื่องรู้ราว เวลาใครถามว่าพ่อทำอะไรผมจะพูดว่าพ่อทำหนัง และผมก็ภูมิใจด้วย จริงๆ พ่อเคยอยากเป็นผู้กำกับหนังแต่ไม่ได้มีโอกาสเรียนและทำ ผมโชคดีที่พ่อสนับสนุนมาก มีวันนึงอายุประมาณ 15 ผมทำหนังได้ไม่ดีหลายๆ เรื่องแล้วเรารู้สึกท้อไปพักใหญ่ พ่อถามผมว่าจะไม่ทำแล้วใช่ไหมหนัง จะได้ไม่ต้องส่งเรียน (หัวเราะ) หลังจากนั้นเลยวิ่งเต้นมาลองทำอีกสักรอบ ประมาณปีนึงหลักจากนั้นผมก็ขอพ่อซื้อกล้อง 550D ซึ่งเป็นกล้อง DSLR ที่ถ่ายวิดิโอได้ตัวแรกๆ”
“หลังจากได้กล้องมาผมบ้าถ่ายมาก ถ่ายมันทุกอย่าง ทำวิดิโอโปรโมทในงานโรงเรียนประมาณ 20 วิดิโอ ทำหนังสั้นอีกสองสามเรื่อง ตอนนั้นเรียนรู้เร็วมากเพราะ Filmmaking Culture ต่างประเทศก็กำลังเติบโต ผมดูวิดิโอบนอินเตอร์เน็ตแล้วเรียนรู้ไปพร้อมกับทั้งโลก ตอน ม.4 นั้นถึงจุดที่บ้าและอินจริงจัง ไม่มีกะจิตกะใจจะเรียนหนังสือแล้ว พอประมาณ ม.5 ผมได้มีโอกาสไปเวิร์กช็อปที่ Phenomena ผมอายุน้อยกว่าทุกคนที่ไปประมาณ 5 ปี คือรู้สึกดีที่สุดตอนได้เจอได้คุยและเรียนรู้กับพี่ต่อ (ธนญชัย ศรศรีวิชัย) พี่ต่อพูดอย่างนึงที่ทำให้ผมมีแรงบันดาลใจมาก คือบอกว่าพัดอะ ทำหนังเก่งอยู่แล้ว แต่ให้ไปเรียนรู้เพิ่ม ผมแบบ เช็ดเข้ พี่ต่อ ธนญชัย ผู้กำกับอันดับหนึ่งของโลกชมเราว่าเก่ง!”

“วันนั้นเป็นวันที่เปลี่ยนชีวิตผมเลย ผมเรียนรู้วิธีคิดแบบผู้ใหญ่มากขึ้นจากพี่ต่อ ความเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับวิธีคิด วิธีมองโลก การทำงาน วันนั้นผมบอกกับตัวเอง ผมไม่อยากเป็นผู้กำกับ ผมอยากเป็นคนทำหนังที่ดีที่สุดโดยไม่ห่วงเรื่องเงิน เรามีเงินเดือนเก้าพันเราก็มีความสุขกับการทำงานได้ครั้งแรกที่ได้เจอเหล่าไอดอลการทำหนังของผมเกิดขึ้นที่ TCDC ถัดจากเวิร์กช็อปหนึ่งเดือน ผมได้เจอพี่เป็นเอก รัตนเรือง และช่างภาพ พี่แดง ชาญกิจ ชำนิวิกัยพงศ์ ผู้กำกับศิลป์มือท็อบๆ ของเมืองไทยอย่างอาจารย์ตั้ม (ภวัส สวัสดิ์ชัยเมธ) ก็ไป ฟังเขาพูดเรื่องการทำหนังฝนตกขึ้นฟ้า มันส์ดี ตั้งแปดชั่วโมงช่วงนั้นผมรู้สึกอยากทำหนังยาวมาก ไม่อยากเรียนมหาวิทยาลัยต่อเพราะคิดว่าไม่จำเป็น ตอนนั้นยังเด็กคิดว่าตัวเองเก่ง วางแผนไว้ว่าถ้าได้ซื้อกล้อง RED แล้วปล่อยให้คนอื่นเช่ารับงานถ่าย แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยมหิดล (MUIC) เพราะรู้มาว่าอาจารย์ตั้มที่เป็นโปรดิวเซอร์ของ ฝนตกขึ้นฟ้า สอนอยู่ที่นี่ แถมยังเป็นหลักสูตรอินเตอร์และมีมหาวิทยาลัยเดียวที่สอนฟีล์มแบบเต็มๆ”
“ที่มหาวิทยาลัยผมได้เจอ ‘พีท’ ตากล้องคู่ใจที่ผมสนิทมากๆ ตอนจบปี 1 ผมได้ไปเวิร์กช็อปกำกับศิลป์กับอาจารย์ตั้ม แล้วทำงานได้ดีในระดับหนึ่ง อาจารย์เลยเอ็นดูเรามาจนถึงทุกวันนี้ โชคดีของผมที่ช่วงนั้นเขาถ่ายหนังเรื่องใหม่ของพี่เป็นเอก เรื่องแรงดึงดูด ผมเลยได้ไปออกกองด้วยสามวันและได้รู้จักพี่ๆ ในวงการมากมาย”

“ตอนปีสองผมบอกกับพีทว่าอยากทำหนังยาว เลยตัดสินใจทำกับกลุ่มเพื่อน 7 คนในชื่อ SkylitFilms ถ่าย 14 คิว เหนื่อยมาก หนังออกมาไม่ดี เรียกว่าห่วยจนผมท้อ (หนังชื่อต่อพงษ์ ไปหาดูได้) จากนั้นเลยผุดโปรเจ็คหนึ่งที่เคยพยายามทำแต่ไม่สำเร็จ เป็นเรื่องสั้นจากหนังสือชื่อ Bangkok Noir ซึ่งเป็นหนังมือปืน ตอนนั้นเรามีไอ้นาย (นาย นภัทร เสียงสมบุญ) กำลังถูกปั้นเป็นซุปเปอร์สตาร์ แล้วเคยติดต่อพี่นก ฉัตรชัยไว้ ว่าจะมาเล่นหนังนี่ ผมเลยบอกกับเพื่อนว่าเรื่องนี้ตั้งใจมาก ร้องไห้ต่อหน้าเพื่อนเลย บอกว่าถ้าเรื่องนี้ออกมาห่วย ผมจะเลิกทำหนังแล้วเพราะผมบ้ามาก (หัวเราะ) สุดท้ายเลยได้ออกมาเป็น Death of a Legend ซึ่งได้รางวัลรับเลือกถึง 7 รางวัล แต่จุดที่พลิกชีวิตมากที่สุดคือเมื่อ ลี ชาตะเมธีกุล มือตัดระดับท็อบๆ ของประเทศ และ พี่เป็นเอก รัตนเรือง มาสอนที่มหาวิทยาลัยมหิดล”

“พออาจารย์ลีกับพี่เป็นเอกเข้ามาสอน ผมได้เรียนรู้แบบเยอะมากๆ เยอะแบบมหาศาล คือเรากลายเป็นคนอีกเลเวลหนึ่งเลย เพราะเขาสอนดีมาก ความเป็นคนทำหนัง ความเข้าใจหนัง ผมรู้สึกว่าผมพลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้า บวกกับการที่เป็นคนรักหนังพี่เป็นเอกอยู่แล้ว ผมยิ่งได้ถาม ยิ่งได้รู้มากขึ้น มันเป็นแรงบันดาลใจมาก พออาจารย์ทั้งสองเห็นความตั้งใจของเรา เขาก็ยิ่งให้เราแบบเยอะมาก
ในช่วงเวลานั้นหนังของผมติดรอบเทศกาลมูลนิธิไทยด้วยสองเรื่อง ซึ่ง Thai Short Film and Video Festival เป็นอะไรที่มีเกียรติมากๆ เราติด 15 เรื่องสุดท้ายเรื่องนึง และก็อีกหมวดนึงคือเรื่อง Night at Studio One กับ In a Relationship”
“ช่วงปีสี่เป็นช่วงที่ต้องทำธีสิส ผมเลยตัดสินใจทำหนังที่ personal ที่สุดเกี่ยวกับผม ซึ่งมันก็คือจุดเริ่มต้นของการทำหนังของผม ผมอยากขอบคุณพี่เป็นเอก คุณพ่อ และหนังหลายๆ เรื่องที่ให้แรงบันดาลใจ ซึ่งพี่เป็นเอกและอาจารย์ลีช่วยดูให้ตั้งแต่เขียนบทจนตัดต่อดราฟท์ สุดท้ายอาจารย์ตั้มก็มาเป็นโปรดิวเซอร์ คอยดูและคุมทุกอย่างให้ด้วย ผมได้พี่หมิวกับพี่ต๊อกมาเล่นเป็นตัวละครที่เขาเคยเล่นเกือบ 20 ปีที่แล้ว ได้พรอพจริงจากหนังเรื่องต่างๆ เช่นวิทยุเก่าจากมนต์รัก มาอยู่ในหนังของผมเรื่อง Lost in the Universe ผมได้คนเขียนเพลงเป็นพี่โหน่ง T-Bone แล้วก็ทีมไฟที่หนังพี่เป็นเอกช่วงแรกๆ ใช้ ซึ่งก็คือทีม VS Service ใช้บริษัทกล้องที่พี่เป็นเอกใช้ และโลเคชั่นก็เป็นที่เดียวกับที่ถ่าย ฝนตกขึ้นฟ้า หลังจากจบผมเลยมีผลงานที่ดีมากๆ เรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่เราชอบและรักมากๆ ตอนเจอพี่เป็นเอกครั้งสุดท้ายที่มหาวิทยาลัย ผมขอพี่เขาให้ช่วยแนะนำไปที่บริษัท Factory 01 ผมเลยได้ไปเรียนรู้กับผู้กำกับโฆษณาอย่างพี่อั๋น วุฒิศักดิ์ อนรรฆพร เหมือนได้เจออาจารย์เทพอีกคน และสักพักก็ได้ทำเรื่องแรกจาก Film Factory ได้เรียนรู้จากอาจารย์เทพอีกคนคือ คุณหนัง”

“ผมรู้สึกว่าชีวิตของผมโชคดีมากๆ ได้เรียนรู้จากเทพอย่างพี่ต่อ พี่คณิณ พี่อั๋น คุณหนัง โชคดีมากๆ เป็นบุญเลยครับ เป็นความโชคดีล้วนๆ ที่ทำให้เราได้เจอและเรียนรู้จากคนเก่งๆ มากมาย โชคดีที่โอกาสมันลงล็อค โชคดีที่ครอบครัวสนับสนุน ทั้งนี้ทั้งนั้นมันเกิดจากความพยายามให้การหาโอกาสต่างๆ ให้เข้ามาในชีวิต สำหรับชีวิตผมตอนนี้ คืออยากทำหนังยาวกับทำโฆษณาเท่านั้น จริงๆ มาถึงจุดนี้ได้ในอายุเท่านี้สำหรับผมว่ามันเร็วเกินไปแล้วครับ (หัวเราะ)”

“รางวัลที่ผมชอบมากที่สุดคือการได้รับการยอมรับจากพี่ๆ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เรา ผมฟินมากที่พี่เต๋อแชร์หนังผม หรือที่พี่เป็นเอกชอบ หรือที่พี่อั๋นชอบ ผมว่ามันเหนือกว่ารางวัลอื่นเลยครับ ส่วนคนรุ่นใหม่ที่กำลังจะตามมา ผมรู้สึกว่าพวกเขาเหล่านั้นเก่งมากๆ แล้วครับ แค่ฝากไว้ว่าอย่ารู้สึกว่าตัวเองเก่งเท่านั้น มันจะกั้นโอกาสเรา แต่ผมมั่นใจว่าเด็กรุ่นใหม่ที่ตามมาติดๆ มีเก่งกว่าผมเยอะมาก”
สุดท้ายฝากอะไรไหม

“สุดท้ายผมอยากขอบคุณอาจารย์ทุกท่านครับ พี่ต้อม เป็นเอก ที่หนังของเขาทำให้เรามีทุกวันนี้ ขอบคุณที่ให้โอกาสและความรู้มหาศาล อาจารย์ตั้ม ภวัส ที่ให้โอกาสผม และสอนผมตั้งแต่ปี 1 ถ้าไม่มีเขานี่ไม่มีทุกวันนี้ อาจารย์ลี ที่โคตรจะซัพพอร์ท และให้ความรู้มากมายจริงๆ พี่ต่อ ที่ช่วยให้แรงบันดาลใจและวิธีคิดผมในวันนั้นที่ผมอายุ 16 และวันที่ผมอายุ 19 คุณหนัง ที่ให้โอกาสทำงานชิ้นแรกและได้เรียนรู้อะไรมากมายในเวลาสั้นๆ พี่คณิณ ที่สอนให้ความรู้ในวิธีการโฆษณา พี่เต๋อ นวพล ที่มีเวลามาสอนเขียนบทกับเด็กโง่อย่างผม พี่อั๋น ที่เวลาสามเดือนให้โคตรเยอะมหาศาลเกี่ยวกับวงการโฆษณา เป็นอาจารย์คนนึงที่รักมากๆ คุณพ่อที่คอยสนับสนุนทุกอย่างและความรักที่ได้จากเขา และเงินทองที่มหาศาลที่ช่วยสร้างโอกาสให้เรามากมายถึงที่สุด คุณแม่ที่คอยดูแลเลี้ยงดูเรา ขอบคุณเพื่อนๆ โดยเฉพาะ พี่ต้อม ชัยรัตน์ที่เราไม่ได้พูดถึงเลย กับ พีท ตากล้องคู่เรา ที่ไม่มีมันก็คงไปไม่รอด และเพื่อนๆ ชาว Skylit Films ที่สนับสนุนการทำหนังของเราในช่วงมหาลัยครับ
เป็นไงบ้างคะกับบทสัมภาษณ์ของ พัด พชร พิทักษ์จำนงค์ เชื่อได้ว่าประสบการณ์ของน้องพัดจะสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้หลายๆ คนได้ ก่อนที่ พัด พชร มาถึงจุดนี้ได้เขาต้องผ่านทั้งความพยายามและขวนขวายไขว่คว้าโอกาสมากมายก่อน 
ทุกคนสามารถติดตามผลงานของ "พัด พชร" ได้ที่ https://vimeo.com/pojpitakjamnong อย่าลืมติดตามนะคะ

ขอบคุณภาพจาก Facebook Putt Poj Pitakjamnong 
เรียบเรียงโดย Thai Idol.com

ไอดอลหญิงไทย ตอน "Sport Girl สาย Hard Core ทิพย์วลี จารุหิรัญสกุล”

สุดยอดสาวน่ารักคนนี้กับลุคนักกีฬาเต็มร้อยด้วยความสามารถรอบด้านทั้งการทำงานและด้านกีฬาเป็นส่วนผสมที่ลงตัวและมีเสน่ห์ ลองดูสิ่งที่เธอทำแล้วจะรู้ เพื่อนๆอาจจะอุทานออกมาเลยว่า “จริงดิ” หรือ “สุดยอดเลย”

แนะนำตัวให้เพื่อนๆรู้จักเลยจ้า

ชื่อ ยู้ ค่ะจบมหาวิทยาลัยมหิดล คณะวิทยาศาสตร์ สาขาเคมี ตอนนี้ทำงานตำแหน่งกรรมการผู้จัดการที่การบริการจัดหาสินค้าจากจีน JowSua และ เป็น Marketing Manager ที่บริการขนส่งสินค้าไปต่างประเทศ Inno Cargo ตอนนี้พักอยู่แถวฟอร์จูนค่ะ สีที่ชอบ สีเหลือง ขาว ชมพู อาหารที่ชอบกินก็อาหารอีสาน ญีปุ่น อิตาเลียน ชอบมากๆก็ปลาร้า(หัวเราะ) สถานที่ๆชอบไป สกายเลน สวนลุม คอร์ทแบดมินตันแถวๆบ้าน กิจกรรมยามว่างปั่นจักรยาน วิ่ง ว่ายน้ำ แบดมินตัน เล่นเวท และตอนนี้ว่าจะลองไปชกมวยดูค่ะ

กีฬาที่ชอบที่สุดและทำไมถึงชอบ

จริงๆชอบทุกๆอย่างค่ะ แต่ถ้าเล่นบ่อยที่สุดก็จักรยาน คือเริ่มต้นไปเที่ยวหลวงพระบางและเค้ามีจักรยานให้เช่า เลยปั่นเที่ยวซะเลย ไม่ใช้รถ เจอทั้งแดด ฝน มันส์สุดๆ หลังจากนั้นเลยติดใจ กลับมาถอยจักรยานคันแรก เพราะรู้มาว่ามีคนปั่นเพื่อออกกำลังกายกันเยอะเลยสนใจ หลังจากนั้นก็พยายามหาเวลา สถานที่ กลุ่มปั่น จนมาเจอทีม “Bike Thailand” เลยเข้าไปฝึกโดยให้เพื่อนๆพี่ๆในกลุ่มสอน ตั้งแต่การเปลี่ยนเกียร์ ใส่คลีท ระเบียบการปั่นกลุ่ม ไปออกทริปเรื่อยๆเริ่มที่ 79 กิโล 100 กิโล และปั่นจาก กรุงเทพไปสวนผึ้ง แข่งท้าทายเวลาเอาถ้วย 100 คนแรก และ 10 อันดับแรกหญิง จากนั้นเลยไปร่วมกิจกรรมปั่นจาก กรุงเทพ-เชียงใหม่ 788 กิโลเมตรกับ SCB ผ่านเส้นทางท้าทาย กรุงเทพ-นครสววรค์-พิษณุโลก-แพร่-อุตรดิตถ์-ลำปางจนถึงเชียงใหม่ และปั่นแข่งทวิกีฬาได้ถ้วยรางวัลมาบ้างค่ะ

ผลงานหรือกิจกรรมที่ทำอยู่ตอนนี้

1.นิตยสาร Rush
2.นิตยสารโรงพยาบาลแพทย์รังสิต
3.เป็น Brand Ambassador ของ Under Armour ,Scott Bike ,CP-Meiji
4.รายการ Bike addict
5.สัมภาษณ์เกี่ยวกับการแรงบันดาลใจวิ่งลงนิตยสาร Refill ,2015
6.ถ่ายรายการ Ready To Go ทางช่อง voice tv เกี่ยวกับการวิ่ง เริ่มต้น และการฝึกซ้อม
7.สัมภาษณ์เกี่ยวกับแรงบันดาลใจในการปั่นจักรยาน พร้อมแนะนำเส้นทางปั่น ลงนิตยสาร
Lonely Planet , june 2015
8.หนังสือสุขภาพดี March 2016
9.คอลัมน์ Sport Mania PostToday May 2016
10.รายการคนสู้โรค ThaiPBS June 1,2016
11.นิตยสารสุดสัปดาห์ แนะนำเส้นทางปั่น June ,2016

เล่นกีฬาเยอะขนาดนี้มีรางวัลติดมือมาบ้างไหมคะ

มีค่าา เอาผลงานการแข่ง เฉพาะบางส่วนของปี 2014-2016 นะคะ
รางวัลแบดมินตัน 
– แชมป์หญิงคู่รายการ Aeroplane Invitation Cup 2014
– รองชนะเลิศอันดับ 1 รายการ Victor
– Bangbon Super Hero Cup 2014
– รองชนะเลิศอันดับ 1 ประเภทคู่ผสม รายการ Hybrid Competition 2014
– เหรียญทองแดงแบดหญิงเดี่ยวกีฬานานาชาติที่พัทยา MMOA Pattaya international 2014
– ชนะเลิศ Penguin badminton march 2016

รางวัลแข่งจักรยาน
– ปั่นเปิดเมืองชัยนาท 2015 ติด Top 10 หญิงอันดับ 5
– ปั่นวัดใจ กรุงเทพ-สวนผึ้ง 180 กิโลเมตร
– พิชิตยอดดอยอินทนนท์ 50 กิโลเมตร
– รางวัลประเภทวัดใจ 100 คนแรก 89 กิโลเมตร ในงาน Bike Party Kanchanaburi
– รางวัลรองชนะเลิศเสือภูเขา 2015 ระยะทาง 36 กิโลเมตรที่กาญจนบุรี
– ปั่นจากกรุงเทพไปเชียงใหม่ระยะทาง 788 กิโลเมตร

รางวัลวิ่ง
– รางวัลชนะเลิศบางคนที มินิมาราธอน 2013 อันดับ 1 ครั้งแรก
– SCG 100thAnniversary Charity Run 2013 minimarathon 3rd place อันดับ 3
– นาวิกโยธิน มินิมาราธอน 2013 อันดับ 3
– 5 ธันวามหาราช ควอเตอร์มาราธอน อันดับ 4
– Bangkok Ultra Trail 7 KM Nongchok woman 1st อันดับ 1 2014
– Singha Bangkok 7 K 2014 ชนะเลิศ
– รางวัล overall รองชนะเลิศอันดับ 1 AIS HUMAN RUN 2014
– รางวัล 2nd Runner-Up Khaoyai Half Marathon 21.1 K 2014
– Run for Kids minimarathon 2014 อันดับ 4
– วิ่งหุ้มเกราะ 5 ธันวาคม 2014 อันดับ 4
– Iron Horse ม้าเหล็ก 2014 เส้นทางโหด 1 ใน 5 ของไทยรางวัลชนะเลิศ 25 กิโลเมตร
– เพซเซอร์ 4.30 hrs Bangkokmarathon 2014
– รางวัลชนะเลิศ nitade Chula Fun Run 50 ปีวิ่งที่นึง
– ถ้วยรางวัลนักกีฬาผู้สร้างแรงบันดาลใจ 2015
– 13 สยามไทย มินิมาราธอน 2015 อันดับ 5
– srinakarin minimarathon 2015 อันดับ 2
– ภูทับเบิก Trail Run , OnThe Rock 2015, 45 KM รุ่น Open ชนะเลิศหญิง
– supersport 10 miles รางวัลชนะเลิศระยะ 5 miles
– Active Run 2015 รางวัลชนะเลิศ minimarathon
– สิงห์ ปาร์ค เทรล เชียงราย 2015 25 K อันดับ 3
– Thailand International Half Marathon อันดับ 4
– เชียงใหม่มาราธอน 2015 Half Marathon รองชนะเลิศ อันดับ 4
– Active Run สวนนงนุช minimarathon 2016 ชนะเลิศ
– Active Run Half Marathon สามอ่าว ประจวบคีรีขันธ์ 2016 ชนะเลิศรุ่นอายุ overall 2


รางวัลอื่นๆ 
– Duathlon ทวิกีฬา woman 2nd place The Amarin Outdoor Unlimited International Triathlon 2015 huahin
– Summer Triathlon Swim 1 K Bike 25 K Run 5 K รองชนะเลิศ ไตรกีฬา
– สิงห์ เก่ง แกร่ง กล้า obstacle run 15 K 2015 (single) อันดับ 3
– The Singha River Kwai International Trophy Adventure Race 2015 Double woman อันดับ 3 (หญิง คู่ คนไทยคู่แรก)

มีใครเคยเรียกเราว่าเน็ตไอดอลไหมคะแล้วรู้สึกยังไง

รู้สึกว่าไม่ใช่(หัวเราะ) เราก็คนธรรมดา แค่บ้ากว่าคนอื่นไม่ได้เก่งแค่บ้าพอจะวิ่งตามสิ่งที่ตัวเองรัก
สนุกที่จะทำ บางคนเขาแค่ไม่กล้า พอคนอื่นเขาเห็นเราเลยกล้าขึ้นมาเลยมาเรียกแบบนั้นมั้งคะแต่ถ้าเราทำประโยชน์ อยากเรียกแบบไหนก็ได้ค่ะ พอเขาเห็นเราทำแล้วสนุกมีผลที่ดีอยากทำบ้างมีจุดมุ่งหมายมากขึ้น ก็เป็นเรื่องดีค่ะ ออกกำลังกายแล้วแข็งแรงขึ้นทุกคน คำว่าไอดอลสำหรับ ยู้ ยู้ว่าไม่ใช่แค่
มีชื่อเสียง มีคนฟอลโล่วเยอะ ๆ แต่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในด้านนั้นๆ ให้คนรู้สึกเป็นแรงขับดัน
แรงบันดาลใจในทางบวก

แล้วไอดอลของยู้ล่ะ เป็นใคร

เขาชื่อ Abel เป็นชาวอเมริกาสนิทกันเหมือนพ่อกับลูก เริ่มจากที่รู้จักเขาเป็นคนแอคทีฟ ทำงานเก่งและมีทัศนคติแบบคิดบวกมากๆ ทำให้เรานับถือเขาเหมือนพ่อคนนึง พอเขามีความสุขกับการออกกำลังกาย ทำให้เราอยากเอาอย่างบ้างค่ะ

ความฝันหรือจุดมุ่งหมายในชีวิต

จุดมุ่งหมายในชีวิตง่ายมากค่ะ อยากใช้ชีวิตแบบมีความสุข ทำอะไรได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นพื้นฐานที่ต้องมีเราก็ต้องมีสุขภาพแข็งแรงก่อน แล้วเราจะทำอะไรก็ได้ ที่เราอยาก เช่น บางคนอยากไปเห็นดินแดนมหัศจรรย์ของโลก มีเงิน มีเวลาแล้ว แต่ขาดร่างกาย เดินทางไม่ไหว, ทำงานได้ดีขึ้นเพราะสมองปลอดโปร่ง ประสบความสำเร็จในงาน, อยากดูแลครอบครัวแต่ป่วยออดๆแอดๆก็ไม่ไหว, อารมณ์จิตใจผ่องใสทุกครั้งที่ออกกำลังกาย ทำให้เรามีความสุขทุกวัน ไม่ต้องนึกถึงวิ่งมาราธอน การปั่นพิชิตดอยอินทนนท์ ปั่นไกลที่เราฝัน สิ่งท้าทายพวกนี้เป็นแค่ทางผ่าน ให้เราสนุกกับชีวิต แต่สุดท้ายความฝันเรียบง่าย บางทีแค่เราสามารถออกกำลังกายสม่ำเสมอ ได้นานที่สุดยันแก่ เป็นเรื่องที่น้อยคนนักทำได้ บางคนบาดเจ็บ บางคนเบื่อแล้วเลิกไป หรือ ขาดแรงจูงใจ นั่นแหล่ะ “ความฝัน” ของยู้

สุดท้ายอยากให้ ‘ยู้’ ส่งแรงบันดาลใจไปให้ผู้อ่านหน่อยค่ะ

สำหรับยู้ ตัวเองก็เคยท้อมาเยอะกับการออกกำลังกาย มันจะรู้สึกไม่สนุก เหนื่อย ช่วงแรกๆ คิดว่าไปชอปปิ้งแต่งตัวสวยๆอยู่ในห้องแอร์เย็นๆสบายกว่าเยอะ แต่ถ้าเราอดทนรอให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเองสัก 3 เดือนเราจะเข้าใจสิ่งที่เราอดทนทำมา ก็เหมือนเวลาเรารู้จักใครสักคน กว่าจะรู้จักเขาดียังต้องใช้เวลาเลย ว่าเค้าดีไหมถึงตอนนั้นเราค่อยตอบตัวเราอีกทีก็ยังไม่สายนะคะ แต่สำหรับตัว ยู้ เอง ชีวิตดีขึ้นมากค่ะ

Hard Core” คำนี้น่าจะมาจากการบุกตะลุยไปแข่งขันรายการต่างๆขึ้นเหนือลงใต้ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่หวั่น สนุกสนานกับมันเต็มที่รางวัลคือผลพลอยได้ เมื่อชีวิตไม่แน่ไม่นอนเราก็ไม่จำเป็นต้องกังวลกับวันพรุ่งนี้ที่ยังมาไม่ถึง ใช้วันนี้และทำมันให้เต็มที่ก่อนดีกว่า จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจภายหลังจ้าาา

 ติดตามอัพเดทผลงานได้ที่ www.thaiidol.com
 แฟนเพจ : webthaiidol
 เครดิต : Thipwalee Jaruhirunskul
ติดตามผลงานอื่นๆของเธอได้ที่ : Love Sport Girl

ไอดอลรอบโลก ตอน "The Ocean Cleanup by Boyan Slat"


The Ocean Cleanup เรื่องราวของเด็กหนุ่มนักศึกษาวิศวกรรมอากาศยานจากเนเธอแลนด์ด้วยอายุเพียง 19 ปีกับโครงสร้างแพลอยน้ำแก้ปัญหาขยะในทะเล เป็นการนำเทคโนโลยีและความพยายามของมนุษย์ มารวมกัน จนเกิดเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ "Boyan Slat" นักประดิษฐ์ชาวดัตช์และผู้ประกอบการที่สร้างเทคโนโลยี ในการแก้ปัญหาสังคมด้านสิ่งแวดล้อม ที่อายุน้อยที่สุดเท่าที่สหประชาชาติเคยมีมา

 จุดเริ่มต้นของแนวคิดอันสุดโต่งนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2011 ตอน Slat อายุแค่ 16 ปี เขาเกิดความคิดนี้ขึ้นตอนที่เขาเดินทางไปท่องเที่ยวทะเลชายฝั่งประเทศกรีซ ในขณะที่ดำน้ำอยู่ ท่ามกลางทะเลสีฟ้าใสสะอาด
 เขากลับนับจำนวนปลาได้น้อยกว่าขยะพลาสติกเสียอีก Slat จึงเก็บเรื่องนี้มาเป็นแรงพลักดันในการหาวิธีง่ายๆละได้ผลจริง โดยเริ่มศึกษามหาสมุทรทั้งด้านกายภาพและสิ่งแวดล้อม สิ่งมีชีวิต เขาพบสิ่งที่นักสมุทรศาสตร์เรียกกันวังวนของน้ำในมหาสมุทร ที่ผิวน้ำจะเคลื่อนที่ไปเป็นวงอันเนื่องมาจากกระแสลม กระแสน้ำ และภูมิประเทศ ซึ่งสิ่งต่างๆ ที่ลอยไปกับน้ำ ก็มักจะเดินทางไปกับวังน้ำวนนี้จึงทำให้ขยะต่างๆมารวมกันกลางมหาสมุทรหากเรานำอุปกรณ์ไปวางล้อมไว้ ขยะก็จะไม่ลอยไปไหน และสามารถเก็บขยะ
ออกจากทะเลได้ง่ายขึ้น อาจจะเป็นเรื่องที่ยากมากถ้าเราลองนึกถึงตัวเองกับแนวคิดแบบนี้ แต่ว่า Slat ก็ไม่เคยเลิกล้มความตั้งใจเลย

จากนั้นเขาเริ่มออกแบบทุ่นลอยน้ำอยู่กับที่ ที่ใช้กระแสน้ำและกำลังลมพัดพาขยะพลาสติก เข้าสู่แขนรูปตัว V ยาว 100 กิโลเมตร ทำให้สามารถดักจับขยะได้ถึง 3 เมตร จากระดับผิวน้ำ โดยไม่ต้องออกแรงอะไรเลยและไม่สร้างความเสียหายต่อชีวิตในผืนน้ำอีกด้วย

ตุลาคม ปี 2012 เขานำเสนอไอเดียในงาน "TEDx Talk" ที่เนเธอร์แลนด์ เพื่อกำจัดขยะที่กำลังล่องลอยมานานนับทศวรรตกับโครงสร้างกว้าง 100 กิโลเมตร ที่จะกำจัดขยะในมหาสมุทรได้ถึง 42% ซึ่งมีน้ำหนักกว่า 70 ล้านกิโลกรัม ที่กำลังล่องลอยอยู่ในมหาสมุทรมานานนับทศวรรต ซึ่งวิธีนี้จะเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 4.53 ยูโรต่อกิโลกรัมหรือราว 167 บาทเท่านั้น คิดเป็น 3% เมื่อเทียบกับวิธีอื่นๆก่อนหน้า การพูดครั้งนี้ส่งผลให้มีคนให้ความสนใจอย่างล้นหลามเกิดกระแสไวรัลทางอินเตอร์เน็ต ทำให้เขาได้รับการสนับสนุนทางการเงินรวมทั้งได้คนมาร่วมทีมนับร้อยคน

ปี 2013 เขาตัดสินใจพักการเรียนในมหาวิทยาลัย เพื่อมาก่อตั้ องค์กร The Ocean Cleanup อย่างเป็นทางการ โดยทำหน้าที่บริหารงานเองทั้งหมดอย่างเต็มตัว จากนั้น ในปี 2014 เขาและเพื่อนนัก วิทยาศาสตร์ร่วมทีมกว่า 100 คน ทำ“เครื่องกำจัดขยะรุ่นทดสอบ”เครื่องแรกขนาด 40 เมตร ได้ฤกษ์ลอยตัวสู่ผิวน้ำ ใกล้เกาะ Azores ในเดือนมีนาคม 2014 อีกสามเดือนให้หลัง พวกเขาได้ร่วมกันเขียนรายงาน530หน้าถึง“ความเป็นไปได้ที่จะทำความสะอาดทะเลจากขยะพลาสติก โดยไม่สร้างความเสียหายต่อชีวิตในท้องทะเล” โดยมีเป้าหมายจะกำจัดแพขยะกลางทะเลแปซิฟิคในเวลา10ปี หลังการเผยแพร่รายงานนี้ เขาได้รับการสนับสนุนอย่างล้นหลาม จากนักลงทุนกว่า 38,000 คน จาก 160 ประเทศทั่วโลก เป็นเงินถึง 2.2 พันล้านดอลลาร์ หรือ 7.6 พันล้านบาทภายในระยะเวลาเพียง 100 วันเท่านั้น ทำให้ขณะนี้ พวกเขากำลังดำเนินการระยะ2ด้วยการติดตั้งเครื่องที่มีใหญ่ขึ้น ซึ่งมีขนาดถึง 2 กิโลเมตรที่ประเทศญี่ปุ่น เครื่องกำจัดขยะนี้จะทำสถิติ โครงสร้างลอยน้ำจากฝีมือมนุษย์ที่ยาวที่สุดในโลก โดยโครงการนี้คาดหมายว่าจะเริ่มดำเนินการเต็มรูปแบบได้ในปี 2020 




นี่เป็นความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงโลกกับแค่ความคิดง่ายๆที่อยากจะให้สถานที่ที่เราไปนั้นสวยงามน่าเที่ยวกว่านี้จนกลายเป็นไอเอียที่ตกผลึกออกไปและประสบความสำเร็จในวงกว้าง อาจเพราะการตั้งใจในการทำสิ่งที่ตัวเองมุ่งหวังหรือตั้งเป้าหมายไว้อย่างจริงจังโดยไม่ย่อท้อ อยากให้เพื่อนๆที่อาจจะคิดตั้งใจทำอะไรแล้วจงมุ่งมั่นต่อไปให้สำเร็จเป็นกำลังใจให้นะ สู้ๆ

Cr: Boyan Slat
เรื่อง: TNN24


วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ไอดอลรอบโลก ตอน "โค๊ช Vasanth Gopalan กับสูตรความสำเร็จทั้วโลก NLP(Neuro-Linguistic Programming)

"The more you know, the more you don't."

คำกล่าวนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร..
คุณอาจจะตั้งข้อสงสัยและแง่คิดต่างๆเมื่อครั้งแรกที่คุณได้เห็น 
คุณอาจจะกล้าๆกลัวๆ ไม่ค่อยเชื่อ หรือฟังผ่านๆไปแต่ เราอยากให้คุณได้ลอง...


ลองทำความรู้จักกับผู้ที่กล่าวประโยคนี้กันก่อน

"Vasanth Gopalan"

เกิดที่สิงคโปร์มีเชื้อสายอินเดีย ครอบครัวมีฐานะยากจน Vas ต้องอยู่อย่างแออัดกับพี่น้อง 5 คน เมื่ออายุ 18 ปี Vas ต้องไปเป็นทหารด้วยเหตุผลที่ว่าต้องการหาเงินเพื่อส่งน้องๆเรียน นั่นจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด 

วันหนึ่ง Vas ได้รับมอบหมายให้ฝึกนักกีฬายิงปืนของกองทัพเพื่อให้เป็นแชมป์อาเซี่ยนให้ได้ ในขณะนั้นสิงคโปร์ถูกจัดอยู่อันดับที่ 7 ใน 10 ประเทศและสิ่งที่เป็นอุปสรรค์คือ กว่าครึ่งในทีมเป็นทหารที่มีอายุเพียง 18 ปีและไม่มีประสบการณ์การยิงปืนมาก่อน

ตลอดระยะเวลา Vas ทุ่มเทหาวิธีในการฝึกฝนมากมายโดยค้นหาวิธีจากทั่วโลกแต่สุดท้ายก็จบลงที่ความล้มเหลวในปีแรก ในปีถัดมา Vas ได้รู้จักกับศาสตร์ NLP จากลูกน้องคนสนิทและได้ใช้ศาสตร์ NLP นี้ฝึกฝนให้ทีม จนในที่สุดในปี ค.ศ. 2002 Vas พาทีมสิงคโปร์เป็นแชมป์อาเซี่ยนได้สำเร็จโดยใช้เวลาในการฝึกสอนเพียงแค่ 6 เดือนสร้างชื่อเสียงมากมาย นั่นเป็นก้าวแรกที่ทำให้ Vas ได้เชื่อมต่อกับผู้คนทั่วโลกและมองเห็นหนทางที่จะส่งต่อความสำเร็จนี้ไปให้ผู้อื่นด้วยหลักการที่ว่า 

"ถ้า NLP ทำให้เด็กเหล่านี้เป็นแชมป์ได้นั่นแปลว่าเราสามารถทำให้คนทุกวงการเป็นแชมป์ได้เช่นกัน"

Vas ได้จัดตั้งองค์กรที่ชื่อ Life University ขึ้นเพื่อเปิดสอนให้กับผู้คนในหลายๆประเทศ โดยในศาสตร์ของ NLP (Neuro-Linguistic Programming) นั้นจะมุ่งเน้นสอนเกี่ยวกับ

  1. การค้นหาเป้าหมายชีวิต
  2. การสร้าง Passion เพื่อผลักดันคุณไปยังเป้าหมาย
  3. การถอดแบบความสามารถบุคคลที่คุณยกย่อง
  4. เทคนิคการใช้การจินตนาการเพื่อดึงศักยภาพของคุณ
  5. เคล็ดลับการอยู่ในสภาวะสูงสุด (Peak State) เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่สุดยอด
  6. การเปลี่ยนประสบการณ์ที่ดี ให้กลายเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม
  7. การเปลี่ยนประสบการณ์ในอดีตที่ไม่ดี ให้กลายเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม
  8. เริ่มต้นการออกเดินทางสู่ชีวิตที่มีความสุขในทุกขณะ


ปัจจุบัน "Vasanth Gopalan" หรือ "โค๊ช Vas" ได้เดินทางไปตามที่ต่างๆในหลายประเทศเพื่อทำการบรรยายเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ แรงขับเคลื่อน และข้อคิดดีๆในการดำเนินชีวิต โดยในแต่ละประเทศที่ไป "โค๊ช Vas" ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่ต้องการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ NLP อย่างจริงจัง จนทำให้เกิดผู้บรรยายที่ศึกษาศาสตร์ NLP มากมายหลายเชื้อชาติ

ในบ้านเราก็มีผู้บรรยายชาวไทยหลายท่านที่ได้รับการส่งต่อไม้ผลัดมาและถ่ายทอดให้กับคนอีกหลายคนได้นำไปปรับใช้กับชีวิตประจำวันและทำให้การใช้ชีวิตในทุกๆวันดีขึ้น

โดยในประเทศไทยได้เปิดเป็นบริษัทชื่อ
"
Leading Performance Thailand
"

ความสำเร็จตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของ "โค๊ช Vas" นั้นเรียกได้ว่าเป็นของจริงยืนยันได้จากใบประกาศนียบัตรเหล่านี้



และในวันที่ 29-31 กรกฎาคมนี้ จะมีการจัดบรรยายขึ้นในหัวข้อ "Finding Life Purpose & Passion" โดยโปรแกรมการบรรยายนี้จะช่วยให้คุณค้นพบ เป้าหมายชีวิต และ Passion ด้วยการพาคุณย้อนเวลากลับไปค้นหาสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุขในวัยเด็ก กลับไปยังเหตุการณ์ที่ทำให้คุณมีความสุข เพื่อค้นหาสิ่งๆนั้นที่อยู่กับคุณเสมอเวลาที่คุณมีความสุข

ในขณะเดียวกันเราจะพาคุณกลับไปยังอดีตกับเหตุการณ์ที่ทำให้คุณมีความทุกข์ เผชิญหน้ากับมันและเปลี่ยนมันให้เป็นแรงขับเคลื่อนชีวิตคุณ เปลี่ยนสิ่งที่เคยฉุดรั้งให้กลายเป็นพลัง แม้อดีตจะแก้ไขไม่ได้แต่คุณสามารถให้ความหมายใหม่กับมันได้

สุดท้ายนี้เราย้อนกลับไปที่หัวข้อเรื่องที่ได้เกริ่นไว้ตั้งแต่แรกคุณจะเข้าใจมันมากขึ้นมั้ย จะลองย้อนกลับมาทำความเข้าใจและ เปิดโอกาศให้ชีวิตหรือไม่ คุณรู้ว่าไม่มีใครบังคับคุณได้แม้แต่ "โค๊ช Vas" ก็คงไม่บังคับให้คุณเข้าใจหรอกเพียงแต่ว่า ถ้าคุณมองเห็นสิ่งที่เป็นไปได้ในประโยคข้างต้นนั้น คุณจะรู้ว่า 

"The more you know, the more you don't."

ติดตามเรื่องราวอื่นๆได้ที่ www.thaiidol.com 

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ไอดอลหญิงไทย ตอน "บทสัมภาษณ์และตัวตนของเธอ ดาว ธันญ์วริน กิตติธรรมกูล"

ไอดอล นางฟ้า เซเลป!!

คำนำหน้าที่ใช้เรียกเธอแตกต่างกันออกไปแล้วแต่ใครจะนึกออกในแว๊บแรกที่เจอเพราะคงอึ้งถึงความสวยของเธอก่อนและในวันนี้ Thai Idol ภูมิใจเสนอคุณ "ดาว ธันญ์วริน กิตติธรรมกูล" นักปั่นผู้มีความสวยจนต้องเหลียวคอมองกันเลยทีเดียว เรามีบทสัมภาษณ์ส่งตรงมาจากเธอสดๆร้อนๆเพื่อให้เราได้ทำความรู้จักตัวตนของเธอให้มากขึ้น

แนะนำตัวเองหน่อยค่ะ

สวัสดีค่ะ ชื่อธันญ์วริน กิตติธรรมกูล ชื่อเล่น ดาวค่ะเกิดวันที่ 4 กันยายน พศ.ไม่บอกนะคะ เป็นความลับ(หัวเราะ) ชอบสีชมพูค่ะเพราะเกิดวันอังคาร อาหารที่ชอบก็พวกตำปลาร้ายันสปาเก็ตตี้ เเต่ชอบจริงๆ น้ำพริก สารพัดน้ำพริก ปลาร้าหลน ตอนนี้ช่วยธุรกิจที่บ้านค่ะ เป็นร้านอาหารไทย ริมน้ำเจ้าพระยาอยู่ที่จังหวัด อยุธยา เวลาว่างชอบไปวัดไชยวัฒนาราม จริงๆชอบไปหาที่แปลกๆใหม่ๆที่ไม่เคยไป


ชื่อร้านอะไรคะ

ไม่บอกได้ไหมคะ เผื่อคนมาเยอะ กลัวทำไม่ทัน (หัวเราะ) ล้อเล่นค่าาร้านชื่อ กานต์กิตติ ค่ะ


กิจกรรมยามว่างหลังจากช่วยที่บ้านแล้วทำอะไรคะ

ปั่นจักรยานค่ะ จุดเริ่มต้นเราปั่นเพราะมีปัญหาเรื่องกระดูกค่ะ จะเดินไม่ได้ ต้องท้าวความเดิมก่อนนะคะ ตอนสมัยที่เรียนอยู่มัธยมต้น กีฬาที่ชอบเล่นมากคือบาสเกตบอล ต้องบอกเลยค่ะว่าเล่นบาสแล้วทำให้ตัวสูงขึ้นจริงๆเพราะก่อนดาวเล่นสูง '158 ซ.ม.' เล่นไปเล่นมา 1-2ปี สูงขึ้นเป็น '172 ซ.ม.' รวดเดียวเลยค่ะเมื่อเราสูงเร็วเกินไปทำให้กระดูกสันหลังพัฒนาตามร่างกายไม่ทัน มันจึงคดไปกดทับเส้นประสาท หมอบอกว่าถ้าน้ำหนักตัวเยอะจะมีผลเสียที่กระดูกสันหลังจะปวดหลังและเอวค่ะ แถมหัวเข่าก็ไม่ดีอีกด้วย เลยต้องหากีฬาที่ไม่ใช้หัวเข่าเยอะเพื่อลดการแบกรับภาระตอนเล่นกีฬาตอนนั้นเพื่อนๆ ชวนปั่นจักรยานตอนแรกก็กลัวๆนะคะ กลัวจะปวดหลังปวดหัวเข่า แต่พอปั่นไปจนชินแล้วรู้สึกดีขึ้นค่ะ ได้สูดอากาศธรรมชาติ ได้ร่างกายที่แข็งแรง แถมยังได้เพื่อนใหม่อีกเยอะเลยค่ะ



ตอนนี้คุณดาวดูแข็งแรงมากๆเลยนะคะ

ใช่ค่ะ ตอนนี้ไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่แล้วค่ะ สามรถปั่นได้นานขึ้นเยอะขึ้น แต่รู้สึกเหมือนตอนนี้จะอ้วนขึ้นนิดหน่อยค่ะดูแบบ บึกบึนมากกว่านะ น่าจะแบกกระสอบทรายได้เยอะอยู่ (หัวเราะ)


แล้วเวลาว่างนอกจากปั่นจักรยานแล้วทำอะไรคะ

ส่วนใหญ่จะเล่นอยู่กะสุนัขค่ะ เจ้าลีโอ


เห็นว่าคุณดาวได้ทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับจักรยานเยอะเลยใช่ไหมคะ

ใช่ค่ะ อย่างแรกเลยก็เป็นการประกวดนางฟ้านักปั่นปี 2016 แล้วก็ได้เป็นอาสาตำรวจจักรยาน สภ.พระนครศรีอยุธยา ได้มีโอกาศช่วยเหลืออุปการะเด็กชายนักปั่นชื่อน้องตุลค่ะ


สุดท้ายตอนนี้ดาวสังกัดทีมปั่นจักรยานชื่อ ไดนามิก (ทีมนักปั่นสาวสาย)



มีคนเคยมาถามเรื่องที่เราเป็นไอดอล นางฟ้า เซเลป บ้างไหมคะ

เคยมีคนถามนะคะว่า เป็นเซเลปจักรยาน เเบบนี้ เหนื่อยมั้ย ดาวก็ตอบกลับไปว่า ดาวไม่ได้พยายามเปลี่ยนอะไรในตัวเองเพื่อเป็นคนอื่นจึงไม่ได้รู้สึกเหนื่อยอะไร สิ่งที่ทำคือตัวเองที่เป็นจริงๆไม่ได้เฟค หรือสร้างภาพอะไรหรือต้องการให้คนเข้ามาติดตามเยอะๆเพื่อหวังผลประโยชน์ คนที่เข้ามาติดตามเราถือว่าทุกคนคือเพื่อนใหม่ บางคนไม่เคยเจอกันเป็นเพื่อนในโลกออนไลน์ คอยเป็นห่วง คอยเเนะนำ คอยเป็นที่ระบาย จนวันนึง เค้าจากโลกนี้ไปก่อนก็มี

รู้สึกยังไงที่ได้ปั่นจักรยาน

ดาวจะดีใจทุกครั้ง เวลาออกไปปั่นจักรยานเเล้วได้เจอคนเข้ามาทัก เข้ามาขอถ่ายรูป พูดคุยด้วย บางคนเเค่ได้ยืนใกล้ๆ ถ่ายรูปเซลฟี่ด้วยกัน ก็มือสั่นเเล้ว เรารู้ว่าเค้าดีใจมากที่เจอเรา บางคนคุยกันจนเป็นเพื่อนกันตอนนี้ดาวมีเพื่อนอยู่ทุกๆจังหวัดในไทยเลยนะคะ ถ้าไปจังหวัดไหน เเวะหาเพื่อนได้ทุกจังหวัด ไม่กลัวอดแน่นอน(ยิ้ม) คือจริงๆก็ไม่คิดว่า เเค่เริ่มต้นปั่นจักรยาน ชีวิตจะเปลี่ยนไป ขนาดนี้ มีมุมมองใหม่ๆ มีสังคมใหม่ มีเพื่อนใหม่มากขึ้น (เเต่ก่อนเป็นโรคซึมเศร้า ด้วยซ้ำไป)


สรุปส่งท้ายข้อดีของจักรยานหน่อยจ้าา

สรุปว่า จักรยานเข้ามาช่วยชีวิต ช่วยเปิดมุมมอง ของผู้หญิงธรรมดาคนนึง ให้เห็นโลกกว้างขึ้น ให้สุขภาพดีขึ้น ได้มีเพื่อนใหม่ๆมากขึ้น ดาวไม่ได้โลกสวยหรอก เเต่ ดาวเข้าใจอะไรมากขึ้นจริงๆค่ะ

ฝากผลงานหรือกิจกรรมอะไรเพิ่มเติมไหมคะ

ขอฝากติดตาม ทีมจักรยาน ไดนามิคด้วยไม่เเน่ปีหน้า ดาวอาจจะไปปั่นกับทีม ที่ต่างประเทศ ตอนนี้ ขอพัฒนาทักษะการปั่นจักรยานให้เก่งขึ้นก่อนค่าาา

เป็นยังไงกันบ้างคะกับบทสัมภาษณ์นางฟ้านักปั่นที่เราจัดสรรหามานำเสนอให้เพื่อนๆได้ลองดูชีวิตในอีกมุมอีกด้านหนึ่งของเธอ ส่วนใหญ่แล้วทุกๆคนที่เจอก็จะบอกเหมือนกันว่า สวยจนไม่กล้าทัก ไม่กล้าคุยด้วย คุณดาวฝากมาบอกว่า 

"มีครั้งนึง มีคนอินบ๊อกเข้ามาคุยในเฟสบุ๊คเค้าบอกนึกว่าเราเป็นดารา ดาวบอก ไม่ช่ายค่าคนธรรมดา เค้าบอก ขอโทษครับผมเป็นเเค่นักการ(ภารโรง) ไม่คิดว่าคุณจะคุยกับผม

ที่คุณดาวเล่าให้เราฟังเพราะแค่อยากจะบอกว่าเจอที่ไหนทักทายได้จ้าา ไม่กัด ฉีดยาแล้ว (หัวเราะ)เพื่อนๆสามารถติดตามผลงาน รูปถ่าย วีดีโอ และอื่นๆของคุณดาวได้ที่ Facrbook: Dao Thunvarin

ครั้งต่อไปคอยติดตามว่าเราจะนำนางฟ้า ไอดอลคนไหนมานำเสนอหรืออัพเดทเร็วกว่าใครได้ที่

สามารติดตามเราต่อได้ที่แฟนเพจ: https://www.facebook.com/webthaiidol/

---ลาไปก่อนจ้าาาา